ในวันที่ “ช้างศึก” เต็มไปด้วยแข้งดาวรุ่งชั้นยอด

ถึงแม้เริ่มต้นปี 2020 ในวงการฟุตบอลไทยอาจจะต้องเฉาไปตาม ๆ กันด้วยสถานการณ์การระบาดของโรคโคโรน่าไว้รัส โควิด-19 ที่แพร่ระบาดรุกรามไปทำให้เกิดผลกระทบไปหลายต่อหลายวงการรวมถึงฟุตบอลก็ด้วยเช่นกัน หลังเล่นไปได้เพียงแค่ 4 นัด ก็ต้องถูกสั่งหยุดชั่วคราวเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสไปมากกว่านี้ แต่ใน 4 นัดนี้แฟนบอลคงจะได้เห็นเมล็ดพันธ์ใหม่ ๆ ของนักเตะดาวรุ่งทีมชาติไทยที่เริ่มงอกเงยขึ้นมาใหม่อีก ซึ่งเมล็ดพันธ์เหล่านี้จะกลายเป็นฐานสำคัญให้แก่ทัพช้างศึกในอนาคตแน่นอน โดยที่จะกล่าวถึงนั้นเป็นนักเตะดาวรุ่งที่ทำผลงานได้ดี และเพิ่งจะก้าวขึ้นมามีชื่อให้ได้ยินกันบ่อยขึ้นในฤดูกาลนี้ ซึ่งคงจะไม่นับ นักเตะดาวรุ่งที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เช่น สุภโชค สารชาติ, ศุภณัฐ เหมือนตา, เอกนิษฐ์ ปัญญา, วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ และอีกหลายคนที่เป็นที่รู้จักดีอยู่แล้ว โดยคนแรกที่จะกล่าวถึง คือ 1. “กนกพล ปุษปาคม” มิดฟิลด์ตัวรับ วัย 20 ปี บุตรชายของ “โค้ชแต๊ก” อรรถพล ปุษบาคม อดีตตำนานนักเตะและโค้ชที่ยิ่งใหญ่ ผู้ล่วงลับ โดย “บอส” กนกพล ได้กลายเป็นดาวรุ่งที่ฟอร์มน่าจับตามองเป็นอย่างมากหลังยึดตำแหน่งตัวจริงภายในทีม…

“ออมสิน เนชั่นลีก” ทางเลือกใหม่ทีมรากหญ้า

หลังจากที่ลีกฟุตบอลไทยทุกระดับทุกสั่งระงับไปจากสถานการไวรัสโคโรน่า ระบาดในประเทศไทยจนหลายสโมรสรเกิดภาวะวิกฤติ โดยเฉพาะทีมระดับล่างทั้งไทยลีก 3 และ 4 ที่ขาดรายได้เข้าสโมสร ทำให้สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยต้องหาทางออกในการแก้วิกฤตินี้ โดยผลที่ออมากคือการถือกำเนิดของฟุตบอลรายการ “ออมสิน เนชั่นลีก” ที่รวมเอาทีมระดับฟุตบอลไทยลีก 3 และ4 เขามารวมกันเป็นฟุตบอลรายการเดียว จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารย์กันไปต่าง ๆ นานา แต่จากความเห็นส่วนใหญ่ของบรรดาผู้บริหารสโมสรต่างยินดีและยอมรับเพื่อปรับตัวในภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นนี้ โดยโครงสร้างของการยุบเอาไทยลีก 3 และ 4 มารวมเข้ากันนั้น จัดให้มีลีกภูมิภาคทั้งหมด 6 โซน โซนละ 12-14ทีม ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของทีมแต่ละภูมิภาคที่มีอยู่  แต่ละโซนจะทำการแข่งขันแบบพบกันเอง มีทีมตกชั้นแต่ละโซน 1 ทีม จากนั้นจะนำแชมป์และรองแชมป์กลุ่มผ่านเข้าสู่รอบระดับประเทศหรือที่เราคุ้นหูกันในชื่อของรอบแชมป์เปี้ยนลีกส์ ซึ่งแชมป์จะมีสิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้นสู่ไทยลีก 2 ทันที ส่วนรองแชมป์จะทำการเพลย์ออฟกันอีกครั้งเพื่อหาทีมสุดท้ายเพื่อเลื่อนชั้นต่อไป โครงสร้างจะคล้ายกับลีกภูมิภาคในสมัยก่อนซึ่งจะร่นระยะทางในการขึ้นสู่ไทยลีก 2 เร็วขึ้น สิ่งสำคัญคือ ทีมระดับล่างจะโดยเฉพาะทีมจากไทยลีก 3 ที่จะได้มีโอกาสผ่านเข้าสู่รอบแชมเปียนส์ลีกมากยิ่งขึ้นจากการกระจายระดับความเข้มข้นน้อยลงแต่ก็ไม่สามารถประมาททีมจากไทยลีก 4 ได้เช่นกัน ซึ่งแฟนบอลคงจะได้เห็นบรรยากาศความร้อนระอุเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนั้นการเดินทางก็ยังไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่ละสโมสรมากจนเกินไปเพราะแต่ละสโมสรจะถูกจัดโซนให้อยู่ใกล้เคียงกันทำให้เดินทางง่าย…

“ในวันที่กระต่ายแก้วกลับมายิ้มอีกครั้ง”

ช่วงนี้กระแสฟุตบอลไทยลีกคงจะต้องลดความระอุลงไปหลังต้องถูกสั่งหยุดพักเบรคหนีสถานการณ์ไวรัสโควิด และแน่นอนทีมฟอร์มดีหลาย ๆ ทีมในช่วงออกสตาร์ทคงจะเซ็งกันไปตาม ๆ กัน หนึ่งในนั้นคือ “บีจีปทุม ยูไนเต็ด” ทีมดังย่านรังสิตที่ช่วงเปิดฤดูกาลเก็บไปได้ถึง 10 แต้ม จาก 4 เกม จนถูกยกให้เป็นหนึ่งในตัวเต็งร่วมคั่วแชมป์ในฤดูกาลนี้แต่กว่าจะมาถึงตรงนี้หนึ่งขวบปีพวกเขาต้องอดทนพยายามดีดตัวเองกลับขึ้นมาบนสังเวียนไทยลีกหลังตกชั้นไป เราจะมาย้อนรอยความมุมานะของพวกเขาจนกลับมาเป็นทีมที่ใครก็ประมาทไม่ได้ในตอนนี้ สิ้นเสียงนกหวีดที่สนามลีโอสเตเดี้ยม บรรยากาศในตอนนั้นเต็มไปด้วยความสับสนของแฟนบอลหลังทีมพลาดท่าพลิกล็อกพ่ายให้กับ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ซึ่งเพียงแค่ยันเสมอแต้มเดียวพวกเขาจะอยู่รอดบนลีกสูงสุดได้อย่างไม่ต้องพึ่งใคร แต่โชคชะตากลับเล่นตลก กล้องถ่ายสดจับไปยังบนแสตนด์เชียร์เหล่าผู้ชมกว่าหลายพันชีวิตโดยเฉพาะแฟนบีจีต่างเต็มไปด้วยน้ำตา แต่ถึงอย่างไรแฟนบอลต่างยังคงร้องเพลงเชียร์กึกก้องไปทั่วสนามลีโอสเตเดี้ยมและก้มหน้ายอมรับความจริง สิ่งสวยงามจากความเศร้านี้ คือ เรายังได้เห็นแฟนบอลให้สัญญากับทีมรักของพวกเขาว่าถึงจะต้องตกไปเล่นในลีกรองก็จะตามเชียร์อย่างสุดกำลัง เมื่อล้มแล้วต้องลุกบีจีเริ่มต้นฤดูกาล 2019 ด้วยการกลายเป็นน้องใหม่ในฟุตบอลไทยลีก 2 พวกเขาตัดสินใจปล่อย ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ออกจากทีมด้วยสัญญายืมตัวให้กับทีม โออิตะ ทรีนิตะ ทีมจากเจลีกญี่ปุ่นและเน้นใช้ขุมกำลังเดิมผสมกับตัวต่างชาติและดาวรุ่งที่มี ภายใต้การคุมทีมของ “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน อดีตนักเตะทีมชาติไทย โดยพวกเขาเดินหน้าเก็บอย่างต่อเนื่องและขึ้นไปอยู่บนแท่นจ่าฝูงอย่างยาวนานและมาถึงนัดสำคัญพวกเขาเปิดบ้านไล่ถล่ม ลำปาง เอฟซี ไปถึง 7-1…

ธีรธร บุญมาทัน “สู่แบ็คซ้ายที่ดีที่สุดของเอเชีย”

ชั่วโมงนี้นักฟุตบอลไทยที่กำลังได้รับการยกย่องจากทั้งเอเชียคงจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก “อุ้ม” ธีรธร บุญมาทัน หลังเจ้าตัวกลายเป็นนักฟุตบอลสัญชาติไทยคนแรกที่คว้าแชมป์ถาด “เจลีก ญี่ปุ่น” ได้ในปี 2019 ที่ผ่านมา กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการฟุตบอลไทยที่มีนักฟุตบอลไทยประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับ หลังจากที่มี ชนาธิป สงกระสินธิ์ เบิกทางสู่การค้าแข้งยังเจลีก ญี่ปุ่น และเป็นที่ยอมรับในฝีมือจนเป็นตัวจริงที่ทีมขาดไม่ได้ ฝีเท้าเป็นที่ประจักมาแล้วก่อนไปเจลีก ในสมัยก่อนที่ เจ้าอุ้ม ธีรธน บุญมาทัน จะได้ย้ายมาค้าแข้งในประเทศญี่ปุ่นนั้นทั่วทั้งเอเชียก็ได้ยินชื่อเขาอยู่แล้วว่าเป็นแบ็คซ้ายที่ฝีเท้ายอดเยี่ยม ในตอนที่ยังค้าแข้งอยู่กับ “ปราสาท สายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทีมที่ขัดเกลาให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่ครบเครื่องในทุก ๆ ด้านไปจนถึงระเบียบ วินัย เราคงจะได้เคยเห็นคลิปการเล่นของธีรธน กันอยู่บ่อยครั้งแต่ที่ทั้งทั่วเอเชียเห็นส่วนมากจะมาจากตอนที่เจ้าตัวลงเล่นในรายการ “เอเอฟซี แชมป์เปี้ยนลีก” ฟุตบอลระดับสโมสรเอเชีย ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีป เราคงจะเคยได้เห็นที่สมาคมฟุตบอลเอเอฟซี จัดอันดับลูกยิงสวยงามของแต่ละนัดโดยมักจะมีลูงยิงของแบ็คซ้ายชาวไทยรายนี้ติดอยู่เสมอ แต่ที่เป็นที่จดจำมาจาก 2 เกมที่เจ้าตัวผมกับทีม กัมบะ โอวซาก้า ทีมดังจากเจลีกญี่ปุ่น ในปี2015 โดยเกมแรกเป็นการออกไปเยือน ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและสภาพอากาศที่ไม่คุ้นชิ้นกับนักเตะไทยแน่ ๆ…

“ย้อนวันวานทีมดังไทยลีกที่หายไป”

ท่ามกลางวันเวลาที่หมุนไปของโลก วัฏจักร สิ่งต่าง ๆ ย่อมเกิดขึ้นใหม่และสูญสลายไป ไม่เว้นแม้แต่ในวงการกีฬาฟุตบอลและสำหรับวงการฟุตบอลไทยนั้นต่างมีทีมดังในอดีตมากมายที่เกิดขึ้นและโด่งดังดั่งดาวจรัสแสงไปจนถึงวันที่แสงสว่างดับลงที่หนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่าการ “ยุบทีม” ความเจ็บปวดนี้ไม่ได้หายไปเลยเสียทีเดียวแต่ยังทิ้งร่องรอยประวัติศาสตร์ไว้เราจะมาดูกันดีกว่าว่ามีทีมดังทีมไหนบ้างที่หายไปแล้วจากวงการฟุตบอลไทยของเรา จากความยิ่งใหญ่เหลือเพียงอดีต 1.สโมสร ซุปเปอร์พาวเวอร์ สมุทรปราการ หรือที่เรารู้จักกันในทีมเก่าแก่ที่ชื่อสโมรสร “โอสถสภา” ทีมในดวงใจของใครหลาย ๆ คนด้วยยูนิฟอร์มสีเหลืองอันคุ้นตา โดยพวกเขาเข้าร่วมบนเวทีลูกหนังไทยตั้งแต่ปี 1998 และกลายเป็นทีมที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่สิ่งที่สำคัญในการทำทีมคือเม็ดเงินมนการลงทุนกีฬากับธุรกิจดูแล้วคงจะเป็นของแสลง เมื่อกลุ่มทุนโอสถสภาถอนกำลังในการลงเม็ดเงินบริหารทีม ท้ายที่สุดแล้วในปี 2017 ทีมขาดกำลังในการเสริมทีมและตามสภาพที่มีพวกเขากัดฟันสู้แต่ไม่สำเร็จต้องตกชั้น และตัดสินใจยุบทีมในที่สุด สิ้นสุดตำนาน 19 ปีบนโลกลูกหนัง 2.อาร์มี่ ยูไนเต็ด หรือ สโมสร “กองทัพบก” ในอดีต ทีมดังเจ้าของฉายา “สุภาพบุรุษ กงจักร” เรื่องช็อคเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้หลังสิ้นสุดฤดูกาล 2018 พวกเขาไม่สามารถเลื่อนชั้นขึ้นสู่ไทยลีกตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้ในช่วงต้นฤดูกาลเสียงลือหนาหูว่าพวกเขาอาจจะแค่ย้ายสนามเดิมย่านวิภาวดีไปสู่จังหวัดสระบุรี แต่แล้วฟ้าก็ผ่าลงมากลางใจแฟนบอลเมื่อบอร์ดบริหารของทีมออกมาแถลงการยุบทีม หลังช่วงหลายปีที่ผ่านมาทีมไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ปิดตำนานความยาวนานของทีมถึง 103 ปี หลังก่อตั้งตั้งแต่ปี ค.ศ.1916 3.อินทรีย์ เพื่อนตำรวจ…

“ปืนใหญ่แดนใต้” ทีมเล็กหัวใจใหญ่

ลีกฟุตบอลไทยในบ้านเราตอนนี้เรียกได้ว่าอยู่ในจุดที่กำลังก้าวไกลพัฒนาไปได้จนน่ายินดี แต่ถ้าหากกวาดสายตาไปรอบ ๆ แล้ว ชื่อของทีมที่มาจากโซนภาคใต้นั้นแทบจะหาได้ยาก ปัจจัยหลายอย่างเป็นสิ่งสำคัญทั้งแนวทางการบริหารทีม, เงินบริหาร, ฐานแฟนบอล, สภาพแวดล้อมภายในจังหวัดสิ่งเหล่านี้ล้วนประกอบทำให้เกิดความยากลำบากในการทำทีม แต่ในแดนใต้นั้น ยังมีอีกหนึ่งทีมที่ถึงแม้จะยังไม่ก้าวขึ้นมาถึงลีกสุดสูงแต่แนวทางทุกอย่างในทีมนั้นเป็นมืออาชีพทั้งจากความพยายามและความรัก นามของทีมนั้นคือ “ปัตตานี เอฟซี” ปัตตานี เอฟซี ทีมดังแดนใต้ จากจังหวัดปัตนานี เจ้าของฉายา “ปืนใหญ่ ลังกาสุกะ” ทีมที่มีเอกลักษณ์ทั้งภาพลักษณ์ทีมไปจนถึงสโมสร สีของสโมสรนั้น คือ สี เขียวและเหลืองเป็นหลักนักเตะส่วนใหญ่เป็นนักเตะที่มีเชื้อสายชาวใต้อย่างแท้จริงไปจนถึงผู้บริหาร เพลงเชียร์หลักของพวกเขาแสดงความเป็นตัวตนออกมาได้อย่างดีจนสะกดให้ฝั่งตรงข้ามต่างต้องจองมองหยุดตั้งใจฟังด้วยภาษา “ยาลอ” หรือภาษามลายูชาวใต้นิยมใช้กัน ท่วงทำนองนั้นกลั่นออกมาจากความรักและความเป็นตัวตนได้อย่างถึงแก่น สนามเหย้าของพวกเขานั้นคือสนาม “เรนโบว์ สเตเดี้ยม” ซึ่งเป็นที่สะดุดตาแก่ทีมผู้มาเยือนด้วยหลากสีที่สลับกันอย่างมีสีสันบนสแตนเชียร์  เกมที่ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักและโด่งดังอย่างมากเกิดขึ้นในปี 2016 ที่พวกเขาต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของ “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่จากฟุตบอลลีกสูงสุดในรายการฟุตบอลลีกคัพ ซึ่งผู้ชมในนัดนั้นเต็มความจุจนทะลักเพราะเป็นเกมสำคัญที่หาโอหาสได้ยากที่จะพบกับทีมชั้นนำของประเทศกูรูหลายรายต่างมองไปในทิศทางเดียวกัน คือ เมืองทองจะสามารถบุกมาเก็บชัยได้ไม่ยากและผ่านเข้าสู่รอบต่อไป แต่เมื่อมีปากกาเซียนวลีเด็ดอย่างการหักปากกาเซียนก็ต้องถูกนำมาใช้อีกครั้ง หลังภายใน 90 นาที พวกเขาสามารถออกนำได้ก่อนแต่…

“สุเชาว์ นุชนุ่ม” ยอดกัปตันของชาวเมืองกาญจน์

สิ้นฤดูกาล 2019 ของฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก กัปตัน “กบ” สุเชาว์ นุชนุ่ม ยอกมิดฟิลด์พลังไดนาโมได้ตัดสินใจลาถิ่นปราสาทสายฟ้า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เจ้าตัวค้าแข้งมาร่วมเวลาถึง 10 ปี หลังหลีกทางให้บรรดารุ่นน้องได้แจ้งเกิดฝีเท้าผลัดเปลี่ยนยุคสมัยที่ขยับเขยื้อนไปตามเวลา โดยสถานีต่อไปที่เจ้าตัวได้ย้ายไปค้าแข้งคือทีมสโมสร “ค้างคาวมหากาญจน์”  เมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด ทีมบ้านเกิดที่เจ้าตัวตั้งใจย้ายมาเพื่อยกระดับทีมและทำตามความตั้งใจที่จะเล่นเพื่อทีมบ้านเกิดสักครั้งในอาชีพการค้าแข้ง ผ่านประสบการณ์จนโชกโชน กับตันกบ สุเชาว์ นุชนุ่ม นั้นทุกคนคงจะไม่สงสัยในฝีเท้าของเจ้าตัวอย่างแน่นอนประสบการณ์ในเวทีลูกหนังของเขานั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วอย่างมากมาย จากเด็กหนุ่มที่เกือบเคยเลือกเส้นทางอาชีพนักมวย สู่การเป็นนักเตะไทยลีกโดยเริ่มต้นค้าแข้งกับทีม ทีโอที อดีตทีมในตำนานของไทยลีกที่ปัจจุบันไม่มีอยู่แล้วโดยเจ้าตัวลงเล่นไป 84 เกม ยิงไป 13 ประตู ซึ่งเจ้าตัวเคยมีโอกาสย้ายไปค้าแข้งยังต่างแดนกับทีม เปอร์ซิบ บันดุง จากลีกอินโดนีเซีย 1 ฤดูกาล และได้รับการติดต่อจากทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่กำลังหามิดฟิลด์แดนกลางร่วมทีมซึ่งการตัดสินใจนี้คงจะไม่ยากสำหรับเจ้าตัว สุเชาว์ ได้ย้ายกลับมายังเวทีลูกหนังไทยอีกครั้งและสร้างตำนานกับปราสาทสายฟ้านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 10 ปี กับบุรีรัมย์ เจ้าตัวลงสนามไปทั้งสิ้น 156…

ทิตาวีร์-ทิตาธร อักษรศรี เจ้าชายคู่ใหม่ของเทโร

สำหรับใครที่ติดตามฟุตบอลไทยลีก 2 เมื่อฤดูกาล 2019 ที่ผ่านมาคงจะได้เห็นฟอร์มของ “โชแปงและปาแปง” ทิตาวีร์-ทิตาธร อักษรศรี คู่พี่น้องฝาแฝดที่ลงสนามให้กับ “มังกรโล่เงิน” โปลิศ เทโร เอฟซี โดยทั้งสองมีส่วนช่วยให้ทีมขึ้นชั้นกลับมายังเวทีไทยพรีเมียร์ลีกได้อีกครั้งภายใน 1 ฤดูกาล และปัจจุบันกับการยึดผงหลังตัวจริงให้กับทีมทั้งแบ็คซ้ายและเเบ็คขวา หากคู่แข่งจะผ่านเข้าไปทำประตูก็จะต้องผ่านฝาแฝดรายนี้ไปก่อน ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่แต่ไม่เทอะทะทำให้ประสิทธิภาพนั้นสูงมากสำหรับผู้เล่นแนวรับทั้งการเติมเกมบุก,การตั้งรับ โดยเฉพาะลูกกลางอากาศที่ยามใดที่มีสองพี่น้องคู่นี้แฟนบอลมังกรโล่เงินแทบจะอุ่นใจไปได้เลยทีเดียว 4 เกมหลังไทยพรีเมียร์ลีกฟดูกาล 2020 ได้เริ่มต้นขึ้น 2 พี่น้องคู่นี้ได้รับการไว้วางใจจาก “โค้ชอ้น” รังสรรค์วิวัฒชัยโชค ให้ลงสนามเป็นตัวจริงอย่างต่อเนื่องสมกับความมุ่งมั่นของทั้งสอง จากดาวรุ่งสู่ฮีโรทัพช้างศึก ในอดีตเราเคยได้เห็นคู่พี่น้องอย่าง สุรีย์และสุรัตน์ สุขะ ลงสนามให้กับทีมฟุตบอลทีมชาติไทยในฐานะพี่น้องคู่กัน และปัจุบันเราก็ได้เห็น ทิตาวีร์และทิตาธร ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นสายเลือดใหม่ จากนักฟุตบอลทีมโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน สู่การเป็นนักเตะดาวรุ่งให้กับสโมสร “บีอีซี เทโรศาสน” หรือปัจจุบันคือทีม โปลิศเทโร คู่พี่น้องรายนี้ต้องผ่านการฝึก อดทน รอคอย โอกาสมาอย่างยาวนาน ผลงานภายในลีกที่โดดเด่นของ ทิตาธร ได้เข้าตาของ…

แข้งเทพกับภารกิจเซฟเก้าอี้ “มาโน่”

ฟุตบอลไทยลีกเป็นลีกที่ขึ้นชื่อว่ามีการเปลี่ยนโค้ชบ่อยอยู่เป็นประจำ เรียกได้ว่าเปลี่ยนบ่อยจนเหมือนการเลานเก้าอี้ดนตรี เพราะหากไม่ประสบความสำเร็จติดต่อกันผลงาน, ผลตอบแทน, รายได้จากรางวัลต่าง ๆ ที่สโมสรต้องสูญเสียไปก็ยิ่งทวีคูณขึ้น แฟนบอลอาจจะได้รับผลตอบแทนชื่นชมความสำเร็จได้อย่างทันใจแต่กับผู้ที่สวมหัวโขนอาชีพโค้ชแทบจะตรงกันข้าม  แต่ถ้าจะนึกถึงทีมในไทยลีกซักทีมในตอนนี้ที่มีโค้ชดำรงตำแหน่งอย่างยาวนานหลายปีต้องมีชื่อของ “มาโน่ โพลกิ้ง” กุนซือเลือดเยอรมันนี-บราซิล ของทีมทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด อยู่ในลิสต์อย่างแน่นอน สาเหตุที่เขาได้ดำรงอยู่นั้นโดยที่ไม่ได้ถ้วยแชมป์มาประดับตู้สโมสรมาหลายปีแล้วย่อมมีคำตอบ เป็นเวลาเกือบ 5 ปี เข้าไปแล้วที่มาโน่นั่งเป็นกุนซือคอยสั่งการทีมแข้งเทพ ด้วยเม็ดเงินของประธานสโมสรอย่างคุณขจร เจียรวนนท์ เขาสามารถช็อปเลือกนักเตะเข้ามาร่วมทีมได้อย่างไม่มีปัญญา เช่น ฤดูกาลล่าสุดทีมก็ได้ “ฮาจิเมะ โฮโซไก” มิดฟิลด์ ชาวญี่ปุ่นเข้ามาเติมเต็มในแดนกลางหากเป้าหมายของทีมหรือสไตล์การทำทีมไม่มีจุดมุ่งหมายเชื่อเหลือเกินว่ากองกลางชาวอาทิตย์อุทัยคงไม่เก็บกระเป๋าย้ายจากบุรีรัมย์มาแน่นอน ประสบการณ์ของเขาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจากเวทีบุนเดสลีกา ย่อมช่วยมาโน่ให้มีตัวเลือกในการสร้างสไตล์ทีมได้มากยิ่งขึ้น แต่เหล่าบรรดาผู้เล่นทั้งดาวรุ่งฟอร์มแรงและสตาร์ของทีมหลาย ๆ คน คงจะต้องงัดฟอร์มของตัวเองออกมาให้ได้ที่สุด ทั้ง อานนท์ อมรเลิศศักดิ์, ทริสตอง โด, วันเดอร์ หลุยส์, ปกเกล้า อนันต์, สรรวัชญ์ เดชมิตร, มิก้า ชูนวลศรี หรืออีกหลายรายที่ไม่ได้กล่าวถึง…

“อันเดรส ตูเญส สิ้นสุด 7 ปี ในถิ่นปราสาทสายฟ้า”

หลังจากเป็นข่าวลือหนาหูมาสักพัก แฟนบอลชาวไทยคงจะทราบกันดีแล้วว่า ทีม “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่ในศึกฟุตบอลไทยลีก ได้มีข่าวปล่อย “อันเดรส ตูเญส” กองหลังชาวเวเนซุเอลา ออกจากถิ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งข่าวที่ออกมาก็เป็นเจ้าตัวที่เลือกจะออกจากถิ่นในช่วงที่ไทยลีกต้องปิดพักเบรคจากภาวะวิกฤติโรคโควิด แต่ถึงอย่างไรก็ตามสัญญาที่เขามีกับบุรีรัมย์ก็จะสิ้นสุดฤดูกาลนี้เช่นกัน การตัดสินใจของเจ้าตัวเชื่อเหลือเกินว่าคงจะไม่มีแฟนเซาะกราวติดใจหรือโกรธเคืองแต่อย่างใด เพราะเจ้าตัวได้พาทีมกอบโกยรางวัลเข้ามาตบแต่งในห้องรางวัลได้เกือบทุกฤดูกาล เช่นนั้นแล้วเราลองมาย้อนลอยกันว่า 7 ปีในถิ่นปราสามสายฟ้าของ อันเดรส ตูเญส นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด ในปี 2014 นั้นเป็นปีแรกที่ อันเดรส ตูเญส ย้ายจากสโมสร เซลต้า บีโก้ ทีมดังจากลีกลาลีกา สเปน เข้ามายังสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แทนที่ ออสมาร์ อีบันเญซ ปราการหลังขวัญใจคนเก่าที่ย้ายออกไป แน่นอนว่าการมาของเขาเต็มไปด้วยความกดดันจากการทั้งชื่อเสียงดีกรีระดับผู้เล่นที่เคยลงเล่นลาลีกาสเปนมาก่อนเคยดวลกับผู้เล่นฝีเท้าระดับโลกมายมายและที่สำคัญ เขาคือความหวังที่จะมาอุดเกมรับที่ ออสมาร์ อีบันเญส ได้ทิ้งให้ต้องปวดหัว แต่ด้วยความที่เป็นผู้เล่นที่มีประสบการณ์โชกโชนเขาใช้เวลาไม่นานในการปรับตัว จนทำให้แฟนบอลลืมภาพที่แนวรับของบุรีรัมย์ต้องมี ออสมาร์ อีบันเญส ถึงจะอุ่นใจได้ นัดแรกที่เขาได้สัมผัสในเกมไทยลีกคือการพบกับทีม…